วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เมื่อหลงคิด... ความไม่เป็นธรรมจึงเกิด...

วันก่อนเพื่อนผมพูดถึงเรื่องสองมาตรา ฐาน แล้วยกตัวอย่างเรื่องคนในหน่วยงานราชการบ้าง รัฐวิสาหกิจบ้าง

(เช่น ใครอยู่องค์การไฟฟ้าก็ใช้ไฟฟ้าฟรี ประปาก็ประปาฟรี โทรศัพท์ก็.... ฯลฯ

ใคร มีเส้นสายในกระทรวงใด ก็ได้เข้าทำงานในกระทรวงนั้นง่ายกว่าคนปรกติหลายร้อยเท่า)

ใครมีพ่อเป็น ตำรวจ ทหาร หรือสส. ก็จะได้บัตรเบ่ง (อันนี้เติมเองนะ)

ซึ่งข้อสรุป ของเขาก็คือ สองมาตรฐานจะไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าในระบบการปกครองแบบใด หรือในยุคสมัยใด

และคนทั้งหลายก็จะแย่งกันไขว่คว้าเอกสิทธิ์นี้ เพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่

สิ่งที่เพื่อนผมพูดนั้นเป็นสัจธรรม และสอดคล้องกับกลอนบทหนึ่งของท่านพุทธทาส ซึ่งผมจะขอยกมาปิดท้าย


อย่างไรก็ดีผมขอกลับมาพูดเรื่องที่ใหญ่กว่าสองมาตรฐานนั่นก็คือความไม่เท่า เทียมกันในแทบทุกเรื่องของโลกใบนี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และกรรมจำแนกสัตว์โลก”

สอง มาตรฐานเป็นตัวอย่างหนึ่งของความไม่เท่าเทียมกัน แต่แน่นอนบนโลกนี้ย่อมมีความไม่เท่าเทียมกันอย่างอื่นอีก

เช่นบางคนคาบ ช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีรูปร่างผิวพรรณดี มีต้นทุนทางสังคมครบถ้วนทุกอย่าง

บาง คนเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ พิกลพิการ ต้องอดอยากแร้นแค้น  บางคนเกิดมา ครอบครัวอบอุ่น

บางคนเกิดมาโดนพ่อเลี้ยงขืนใจ โดนทุบตีฯลฯ

ถ้าเอา กันให้ถึงที่สุดแม้แต่สัตว์ในทุ่งหญ้าสะวันน่า บางตัวเกิดมาเพื่อล่าสัตว์อื่น บางตัวเกิดมาเพื่อถูกล่า

ถ้าให้พูดในมุมนี้ ความเท่าเทียมกันไม่เคยมีอยู่บนโลกอยู่แล้ว เพราะ “กรรม เป็นเครื่องจำแนกสัตว์โลก”


พระไพศาล วิสาโลท่านกล่าวไว้ในบทความล่าสุดที่ชื่อ “ทางหลุดพ้นจากกับดักแห่งความรุนแรง” ว่า

http://visalo.org/article/matichon255305.htm

“การ เติบใหญ่ของขบวนการเสื้อแดงก็เป็นผลมาจากความเหลื่อล้ำทางเศรษฐกิจและ

ความ ไม่เป็นธรรมที่เกิดกับคนระดับรากหญ้ามาเป็นเวลาช้านาน

บุคคลเหล่านี้ซึ่ง มีทั้งในชนบทและในเมืองล้วนถูกทอดทิ้งจากภาครัฐ”

“ครั้นเมื่อพ.ต.ท .ทักษิณได้เป็นนายกฯ และหยิบยื่นผลประโยชน์ส่วนกลางมาให้แก่พวกเขา

ผ่าน นโยบายประชานิยม ทำให้ประชาชนรากหญ้ารู้สึกว่านี้เป็นรัฐบาลของพวกเขาจริงๆ”

“ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่เป็นธรรม ในเชิงโครงสร้างเลย

แต่เมื่อเขาถูกรัฐประหาร ประชาชนนับสิบล้านที่เลือกเขาก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพวกตนถูกกลั่นแกล้ง

และ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ความเหลื่อมลำยังดำรงอยู่และความไม่เป็นธรรมที่เพิ่มขึ้น

กลายเป็น ประเด็นร้อนแรงที่ถูกใช้เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นมาสนับสนุน การช่วงชิงอำนาจ

ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดขบวนการคนเสื้อแดงขึ้นมา”“ความ ไม่เป็นธรรม” หรือความไม่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ของแปลกใหม่

เป็น เรื่องที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ทุกยุคสมัย และไม่ใช่แค่ในสังคมมนุษย์

หลวง พ่อไพศาลท่านกล่าวว่า

"คุณทักษิณไม่ได้แก้ไขความเหลื่อมล้ำทางเศรษญ กิจและความไม่เป็นธรรมในเชิงโครงสร้างเลย"

คำถามคือกลุ่มผู้ชุมนุม ต่อสู้เพื่อ “ความเป็นธรรม” จริงๆ หรือเปล่า...

คำตอบคือ “ไม่”


ความเป็นธรรมที่ว่าคือการที่คุณทักษิณหนีไปต่าง ประเทศ พักโรงแรมหรูๆ เดินช็อปปิ้งกับลูกสาวในห้างดัง

แล้วปล่อยให้พวก ผู้ชุมนุมนั่งตากแดดร้อนๆ แทบลมจับในที่ๆ อากาศไม่ถ่ายเท ซ้ำยังเหม็นอับสิ่งปฏิกูลหรือ?

ความเป็นธรรมที่ว่าคือการที่พวกแกนนำ หนีไปพักที่โรงแรมบ้าง ในรถคอนเทนเนอร์ที่มีเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ

ในขณะ ที่ปล่อยให้พวกผู้ชมนุมต้องนอนตบยุงอยู่ในที่แจ้ง กับพื้นแข็งๆ ที่อากาศอบอ้าวยังงั้นหรือ?

ความเท่าเทียมกันไม่เคยมี แม้แต่ในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง และจะไม่มีวันมีเพราะมันเป็นสัจธรรม

เป็น ธรรมดาที่คนเราจะไม่พอใจเมื่อตัวเอง “คิดเอาเอง” ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ “มันไม่ยุติธรรม”

เช่นถ้าเราเห็นบ๋อยเสิร์ฟอาหารโต๊ะอื่นก่อน ทั้งที่มาทีหลัง เราก็จะไม่พอใจ เพราะ คิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

แต่ถ้า เรารู้ว่าเขาโทรสั่งจองไว้ล่วงหน้า เราจะหายโกรธทันที เพราะคิดว่า “มันยุติธรรม”

ความไม่พอใจจึงเกิดขึ้นเพราะ เราหลงคิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

ทำไมกวางในสะวันน่าถึงไม่เคยบ่น ไม่เคยรวมตัวกันประท้วงที่ตัวเองต้องเป็นอาหารของเสือชีตาร์

ก็เพราะมัน ไม่เคยคิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

มันรู้แค่ว่าถ้าวิ่งเร็วกว่า ็จะรอด ถ้าวิ่งช้ากว่าก็จะถูกฆ่า ไม่มีเวลามาฟุ้งซ่านเหมือนมนุษย์

ทำไม เพื่อนผมบางคน ถูกแม่เลี้ยงรังแก ต้องหนีออกจากบ้าน หาห้องพักเอง

ซ้ำ ยังโดนตำรวจไถเงินบ่อยๆ ตอนขับมอเตอร์ไซค์

แต่ก็ขยันทำงาน และมีความสุขตามอัตภาพ ไม่เสียเวลามานั่งหงิดหงุดว่าสังคมไทย “มันไม่ยุติธรรม”

ทำไมคนชนบทหลายหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก รัฐ ถึงสามารถขวนขวายทำการเกษตรของตัวเอง

บ้างก็รับเอาแนวพระราชดำริของ ในหลวงมาประยุกต์ใช้และอยู่อย่างพอเพียงเป็น สุข ไม่มานั่งบ่นเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม

ทำไมพวกผู้ชุมนุมถึงไม่ บ่นเรื่องสองมาตรฐานของพวกแกนนำ ทั้งที่คนเหล่านั้นได้กินได้นอนในที่ๆ สบายกว่าตน

ก็เพราะพวกเขาไม่เห็นว่า “มันไม่ยุติธรรม”


จะ เห็นได้ว่าคนเราจะไม่พอใจอะไรก็เพราะพวกเขาหลงคิดเอาเองว่า “มันไม่ยุติธรรม” ด้วยกันทั้งนั้น

แต่ท้ายที่สุดการดิ้นรนขวนขวายก็ไม่ ช่วยให้ใคร “พอใจ” ได้ เพราะตัณหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่เติมยังไงก็ไม่มีวันเต็ม

จะเห็นว่าแม้บาง คนได้เป็นเศรษฐีรวยล้นฟ้า มีเงินเป็นหมื่นล้าน ก็ยังไม่รู้จักพออยู่นั่นเอง

ความ เท่าเทียมกัน 100% ในสังคมเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้หลายคนที่ผมรู้จัก

ก็ตระหนักรู้ว่าตนเองมีต้นทุนทางสังคมมาก น้อยเพียงไรและดิ้นรนใช้ชีวิตตามอัตภาพ

คนเหล่านั้นรักตัวเองเป็น จึงรู้ว่าจะขวนขวายลาภยศชื่อเสียงได้มากน้อยเพียงใด และไม่เคยต้องทำผิดกฏหมายหรือศีลธรรม


ที่พวกเขามีความสุข ก็เพราะรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี สมดังคำพระที่ว่า “สุขใจเมื่อใจพอ” หรือ “สุขเป็นก็เป็นสุข”


สุดท้ายนี้ผมขอยกบทกลอน ของท่านพุทธทาสปิดท้ายครับ _/\_

- หลักของคนทุกวันนี้ -

ถ้า เอาเปรียบ เขาไม่ได้ ก็ว่า “ไม่ถูก”

ถ้าจูงจมูก ได้ทุกที ก็ว่า “ดีเหลือ”

ถึงวันดี เกิดมี เกลือจิ้มเกลือ

ร้องว่า “เบื่อ” โลกอะไร? ไม่เป็นธรรม

คนพวกนี้ มีโลก ของตัวเอง

ไปตามเพลง ของกิเลส ที่อุปถัมภ์

ไม่ยอมแพ้ อะไรหมด แม้กฎกรรม

ความเป็นธรรม นั้นคือ “ได้ ตามใจตัว”

ไกลจากสัตว์ ไปทุกที ที่ว่าเจริญ

หาส่วนเกิน มาเทิดไว้ ใส่เกล้าหัว

ใช้สงคราม ตัดสินความ ไม่คร้ามกลัว

ว่าความชั่ว จะไหม้โลก เป็นโคกไฟฯ

หากศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศครับ...

จากคุณ : เต้อ้วนมาก

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9275714/Y9275714.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น