วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข่าวสารวัดทองเนียม

ข่าวสารวัดทองเนียม

http://sites.google.com/site/khawwatthongniam/

ทำชื่อให้สั้นลงจะได้จำง่ายคะ

http://wattn.co.cc/

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แนะนำเว็บ

แนะนำเว็บ มีคู่มือ joomla
 
http://www.joomlathai.net/

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

MV เพลง สันติ2553 โดย สุรชัย จันทิมาธร

ยุติด้วยธรรม และการแ้ก้ปัญหาที่รากเหง้า



ยุติด้วยธรรม และการแ้ก้ปัญหาที่รากเหง้า



ปรับปรุงจากการสัมภาษณ์พระไพศาล วิสาโล


โดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๓

http://www.visalo.org/

ตอนนี้คนไทยมีความทุกข์กันมาก จากนี้ไปคนไทยเราจะอยู่กันอย่างไรในสภาพที่มีความขัดแย้งกันอย่างหนักอยู่ในขณะนี้


จะต้องมีการเยียวยาความเจ็บปวดความสูญเสียที่เกิดขึ้น อันนี้เป็นเรื่องแรก ถ้าหากยังเยียวยายังไม่เสร็จ ก็อย่าไปเพิ่มแผลให้มากขึ้น คืออย่าแก้แค้นตอบโต้กัน ตอนนี้เขาถูกมองว่าเป็นจำเลยของสังคม คนเสื้อแดงนี้อาตมาไม่ได้หมายถึงผู้ชุมนุม แต่รวมถึงผู้สนับสนุน คนที่เป็นแนวร่วม ซึ่งมีจำนวนมากมายหลายสิบเท่าของผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ คนเหล่านี้อาจดูโทรทัศน์ที่บ้าน ซึ่งมีเยอะมาก คนเหล่านี้ตอนนี้ได้กลายเป็นจำเลยของสังคม โดยเฉพาะในยามที่เสื้อแดงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ อาตมาไม่อยากเห็นคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงไปแก้แค้น ระบายความโกรธใส่แนวร่วมเสี้อแดงเหล่านั้น เพราะมันจะกลายเป็นการผลักคนเหล่านี้ให้กลายเป็นศัตรูหรือเหินห่างจากเรายิ่งกว่าเดิม

ตอนนี้ก็มีช่องว่างกันมากอยู่แล้วระหว่างคนเสื้อแดงกับคนไม่แดง ซึ่งอาจเป็นเหลือง เป็นชมพู ถ้าหากคนในสังคมไประบายความโกรธใส่แนวร่วมเสื้อแดงเหล่านี้ ซึ่งอาจเป็นเพื่อนบ้าน เป็นคนในชุมชนเดียวกัน ก็จะทำให้เขาถูกผลักออกไปจากส่วนที่เหลือของสังคม ซึ่งจะทำให้ความแตกแยกร้าวลึกมากขึ้น

คนที่ไม่ใช่เสื้อแดงจะต้องระวังอย่าไปส่งเสริมให้เกิดคนเสื้อแดงมากขึ้น ด้วยการระบายความโกรธใส่เขาหรือใส่คนที่คิดไม่เหมือนเรา ทั้ง ๆ ที่คนเหล่านี้อาจไม่ได้ไปชมนุมเลย ไม่ได้ร่วมประท้วงเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นเลย แต่ถ้าหากเขาถูกกระทำอย่างนี้เขาก็จะฝังใจ และยากที่เขาจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยได้ อันนี้ต้องระวัง

อาตมาอยากให้นึกถึงเหตุการณ์หลัง ๖ ตุลา ๑๙ คนจำนวนมากไม่ได้เป็นซ้าย ไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ เขาแค่เห็นด้วยกับนักศึกษาที่ประท้วงที่ธรรมศาสตร์ แต่เมื่อมีการปราบปรามนักศึกษาประชาชน ตามมาด้วยการรัฐประหาย เผด็จการฝ่ายขวาขึ้นมา ก็มีการต่อต้านนักศึกษารวมทั้งครอบครัวของเขา เช่น พ่อแม่ของเขา ทำให้นักศึกษาจำนวนไม่น้อยอยู่ไม่ไหว บางคนกลัวภัยมาถึงตัว บางคนรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้แล้วในสังคมแบบนี้ก็เลยเข้าป่าไป แต่ตอนนี้เขาไม่มีป่าจะเข้าแล้ว เขาอยู่ในเมือง เขาก็อาจเป็นปฏิปักษ์กับสังคมส่วนที่เหลือได้ เขาอาจเป็นแนวร่วมที่คอยสร้างความวุ่นวายได้ เราต้องระวังอย่าไปผลักเขาให้ทำอย่างนั้น จะต้องอ้าแขนรับคนที่เป็นแนวร่วมเสื้อแดง อย่าไปโกรธเกลียดเขา พยายามเข้าใจความเจ็บปวดของเขา แน่นอนทุกฝ่ายก็เจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น ทุกฝ่ายก็เคียดแค้น แต่ถ้าเราต้องการให้สังคมคืนสู่ความสงบสุข นี้คืออย่างแรกที่เราต้องช่วยกันทำ

ในระยะยาวเราก็ต้องยอมรับว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขบวนการเสื้อแดงเติบใหญ่ ก็เพราะมีความไม่เป็นธรรมในสังคม มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มีความไม่เป็นธรรมในลักษณะสังคมสองมาตรฐานด้วย เรื่องนี้ไม่เฉพาะคนในชนบทที่รู้สึก คนในเมืองที่สนับสนุนคุณทักษิณก็รู้สึกตรงนี้มาก คนเหล่านี้ไมได้ยากจน มีฐานะดีกว่าคนชนบท แต่เขารู้สึกว่าสังคมไทยเป็นสังคมสองมาตรฐาน จึงสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง เรื่องนี้อาตมาคิดว่ารัฐบาลก็ตระหนักแล้ว ชนชั้นนำก็ตระหนักแล้ว นักธุรกิจก็ตระหนักแล้วว่ามันมีปัญหาอย่างนี้จริง ๆ ซึ่งทำให้ ขบวนการเสื้อแดงเติบใหญ่ ทำให้คนเหล่านี้เข้ามาสนับสนุนคุณทักษิณและแกนนำที่พูดเรื่องนี้ พอคุณทักษิณพูดเรื่องนี้เขาก็เทใจเข้ามาร่วมเป็นผู้สนับสนุนคุณทักษิณภายใต้การชี้นำของแกนนำเหล่านี้

พูดอย่างนี้หมายความว่าถึงแม้ไม่มีคุณทักษิณ แต่ถ้ามีใครพูดแบบนี้ที่แสดงให้เห็นว่าต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม ต่อสู้เพื่อสังคมที่ไม่มีสองมาตรฐาน ประชาชนจำนวนไม่น้อยก็จะไปสนับสนุนคนเหล่านี้ ถึงแม้คุณทักษิณจะหมดความหมายไปในอนาคต แต่ถ้ามีคนอย่างนี้ขึ้นมาอีกก็จะเกิดปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้ เพราะฉะนั้นอย่าไปมองว่าการประท้วงของคนเสื้อแดงเป็นเพราะคุณทักษิณคนเดียว อาตมาเชื่อว่าแม้คุณทักษิณมีอันเป็นไป ก็จะมีนักการเมืองแบบคุณทักษิณ ซึ่งสามารถปลุกระดมมวลชนและทำให้เกิดการต่อสู้ในลักษณะที่คนเสื้อแดงทำมาแล้ว ก็คือทำให้เกิดความขัดแย้งต่อสู้และเกิดความรุนแรงในที่สุด ดังนั้นเราต้องช่วยกันแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าคุณใส่เสื้อใดก็ตาม จะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ หรือว่าชนชั้นกลางในเมือง จะต้องรวมพลังผลักดันให้มีการปฏิรูปประเทศ คือ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ลดความไม่เป็นธรรมในสังคม รวมทั้งไม่ให้มีสองมาตรฐาน

เราต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นส่วนขยายจากเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายคนมองว่ามันไม่เกี่ยวกัน เป็นคนละเรื่อง แต่อาตมาคิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน คือเป็นความเจ็บป่วยที่เกิดจากสาเหตุเดียวกัน ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เกิดจากสองเรื่องนี้เป็นหลัก คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติหรือ กอส.หลังจากศึกษาข้อเท็จจริงมา ๑ ปีก็พบว่าสิ่งที่เป็นตัวการทำให้เกิดความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือความยากจน คนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่าทุกภาคของประเทศ และมีปัญหาความไม่เป็นธรรมเจ้าหน้าที่รัฐ ก็คล้าย ๆกับที่คนเสื้อแดงพูดคือมีความไม่เป็นธรรม มีความเหลื่อมล้ำ

ในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผู้ก่อการร้ายหรือขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีตลอด แต่ที่ผ่านมาไม่เติบใหญ่ ส่วนหนึ่งก็เพราะชาวบ้านที่นั่นไม่รู้สึกมากถึงปัญหานี้จนกระทั่งระยะหลังก็รู้สึกมากว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็เลยพากันเป็นแนวร่วมกับกองกำลังติดอาวุธทั้ง ๆ ที่เขายังอยากอยู่เมืองไทย ยังเคารพในหลวงของเรา แต่เขาก็ไปเป็นแนวร่วมกับกองกำลังแบ่งแยกดินแดน ซึ่งชูธงศาสนา ชูธงชาติพันธุ์มลายู แกนนำเหล่านี้ก็เหมือนกับคุณทักษิณคือ ไม่สามารถดึงเอาประชาชนมาเป็นแนวร่วมถ้าหากไม่มีสาเหตุรากเหง้าทางสังคมเศรษฐกิจมามาเป็นตัวกระตุ้น ในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้รัฐบาลจะปราบหรือจับกุมแกนนำก่อการร้ายได้ มันก็ยังต้องเกิดปัญหาอย่างที่เกิดขึ้นอยู่นั่นเอง ในกรณีขบวนการคนเสื้อแดงก็เช่นกัน ถึงแม้จัดการคุณทักษิณได้หรือคุณทักษิณเกิดมีอันเป็นไป มันก็ต้องมีคนแบบคุณทักษิณมาปลุกระดมผู้คนและเกิดการต่อต้านประท้วงแบบนี้อีก ดังนั้นการแก้ปัญหาความแตกแยกรุนแรงนี้ต้องแก้ที่ซึ่งก็ตรงกับที่นายก ฯ อภิสิทธิ์พูดว่าต้องมีการปฏิรูปประเทศจึงจะเกิดความปรองดองในชาติได้ แต่อย่าเพียงแค่พูด เพราะพูดกันมามากแล้ว มันต้องทำกันจริงๆ เรื่องนี้รัฐบาลทำฝ่ายเดียวไม่ได้ ประชาชนทุกฝ่ายต้องเห็นด้วยและสนับสนุนด้วย เช่น ต้องมีการผลักดันเรื่องภาษีที่ดินแบบก้าวหน้า ปฏิรูปที่ดิน มีภาษีมรดก นี้เป็นตัวอย่างในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไม่ใช่ว่าพอพูดเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดก ก็พากันส่ายหัวเพราะกลัวสูญเสียผลประโยชน์ ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่มีหวังจะปฏิรูปประเทศไทยได้ แล้วก็จะเกิดความรุนแรงแบบนี้อีก

คนเสื้อแดงตอนนี้ก็มีความรู้สึกเจ็บปวดเคียดแค้นมาก ท่านมีอะไรจะแนะนำคนเสื้อแดงไหม

อาตมาอยากบอกคนเสื้อแดงว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีรุนแรงไม่ว่าด้วยการใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ หรือก่อวินาศกรรม ทำสงครามใต้ดิน จะไม่ทำให้บรรลุสังคมที่พึงปรารถนาอย่างที่เราต้องการได้เลย สิ่งที่เราต้องการคือสังคมมีมาตรฐานเดียว มันไม่สามารถบรรลุด้วยวิธีรุนแรงได้ ไม่สามารถบรรลุได้เพียงเพราะเปลี่ยนรัฐบาล อย่างที่เขาเรียกร้องว่าถ้ามีการยุบสภา มีการเลือกตั้งแล้วจะได้พรรคการเมืองของตัวขึ้นมาเป็นรัฐบาล ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นจริงมันก็ไม่ช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างที่ต้องการได้ เพราะมันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างซึ่งต้องอาศัยสติปัญญา ต้องอาศัยการร่วมแรงร่วมใจ ฉะนั้นคนเสื้อแดงต้องตระหนักว่า ความรุนแรงแรงไม่ใช่คำตอบ มันมีแต่จะทำให้เกิดความรุนแรงและเกิดปัญหามากขึ้น แต่แน่นอนคนเสื้อแดงไม่ได้คิดเรื่องสังคมมาตรฐานเดียว ตอนนี้เขาคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะทำให้รัฐบาลปั่นป่วนจนอยู่ไม่ได้ ดังนั้นต้องก่อความรุนแรง คิดแบบนี้ก็ต้องระวัง เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้น เราแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่กระทบกับพี่น้องของเรา ซึ่งก็อยู่ในสังคมนี้เหมือนกัน ถ้าเราก่อวินาศกรรมหรือเผาบ้านเผาเมือง เราอาจรู้สึกสะใจที่ได้ตอบโต้แก้แค้น สนองความโกรธแค้นของเรา แต่อาจเดือดร้อนกับญาติพี่น้องของเรา อีกทั้งยังทำลายบ้านเมืองที่เราอยากทำให้ดีขึ้น อาตมาอยากให้คนเสื้อแดงตั้งสติ และตระหนักว่าอย่าระบายความโกรธด้วยวิธีการแบบนี้

เมื่อวานมีการวางเพลิงเผาสถานที่ต่าง ๆ ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ผู้เดือดร้อนควรจะทำอย่างไร

อาตมามองว่าเหตุเพลิงไหม้เมื่อวานบอกอะไรหลายอย่าง มันไม่ได้เกิดจากรับจ้างหรือต้องการปล้นสะดมอย่างเดียว แต่เกิดจากความโกรธแค้น เป็นเพราะผู้โกรธแค้นพยายามพุ่งเป้าไปที่องค์กรหน่วยงานสถานที่ที่ที่เขารู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล อาตมาอยากย้อนไปตอนเกิดเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา หลังจากที่รัฐบาลส่งทหารมาปราบปรามนักศึกษาประชาชนที่ประท้วงที่ราชดำเนิน ประชาชนโกรธแค้นมาก ก็เลยวางเพลิงตามที่ต่าง ๆ วางเพลิงที่ไหน ที่กองสลาก ที่กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานของพันเอกณรงค์ ลูกชายจอมพลถนอมซึ่งเป็นเผด็จการ เขาต้องการระบายความโกรธใส่สถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ของรัฐบาล

แต่มาถึงตอนนี้ความโกรธไม่ได้ระบายที่หน่วยงานภาครัฐอย่างเดียว แต่ยังระบายไปที่ภาคธุรกิจที่เป็นแนวร่วมรัฐบาล หรือเป็นภาพสะท้อนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เช่นห้างสรพสินค้า ธนาคาร อันนี้เป็นสัญญาณว่ามีความไม่พอใจภาคธุรกิจเหล่านี้ วิธีการแก้จึงไม่ใช่การปราบปรามไล่ยิงผู้วางเพลิง อย่าไปคิดว่าทำแบบนี้จบ มันไม่จบ อันนี้เป็นสัญญาณบอกว่าเราต้องจัดการกับความรู้สึกโกรธแค้นด้วย เริ่มจากยอมรับว่าเขามีความโกรธเกลียดไม่พอใจที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แล้วแก้ไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ

วิธีการที่จะต่อสู้กับความโกรธเกลียดต้องไม่ใช้ความรุนแรง แต่ต้องพยายามชนะใจเขา ต้องดึงเขามาเป็นพวกให้ได้ วิธีการเยียวยาความโกรธเกลียดต้องไม่ใช่การตอบโต้ด้วยความรุนแรงแรง ความรุนแรงทำได้อย่างมากแค่กำจัดคนโกรธเกลียด แต่ไม่สามารถกำจัดความโกรธเกลียดได้ เราต้องใช้สติปัญญาถึงจะแก้ปัญหาในระยาวได้ เรื่องกระบวนการทางกฎหมายก็ว่ากันไป อาตมาเห็นด้วย แต่ว่านั้นเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น

สำหรับผู้ที่สูญเสียและได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ควรจะวางใจอย่างไรดี

เมื่อเกิดความโกรธแค้นมันก็จะเผาลนจิตใจเรา มันทำร้ายเราเป็นคนแรก เราโกรธใครก็ตาม คนที่เราโกรธเขาไม่เดือดร้อน แต่เราต่างหากที่เดือดร้อนและทุกข์เป็นคนแรก ดังนั้นอย่าทำร้ายจิตใจตัวเราด้วยการปล่อยให้ความโกรธเผาลนจิตใจ

ประการที่สองเราก็ต้องตระหนักว่าเมื่อเราโกรธแล้ว เราก็ระบายความโกรธใส่ผู้อื่น ก็จะเกิดการจองเวร เวรนั้นจะย้อนกลับมาที่เรา ถ้าราโกรธเกลียดเขา ทำร้ายเขา เขาก็ต้องหาทางแก้แค้น ถ้าแก้แค้นโดยตรงไม่ได้ เขาก็แก้แค้นด้วยการทำลายทรัพย์สิน วางเพลิง จุดไฟเผา มันไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเลยมีแต่สร้างปัญหาใหม่ขึ้นมา

ประการต่อมาถ้าเราหวังดีต่อบ้านเมือง เราก็อย่าเป็นแนวร่วมมุมกลับให้กับคนเสื้อแดง แนวร่วมมี ๒ อย่างคือคนที่เชียร์ที่สนับสนุน อีกอย่างคือคนที่โกรธเกลียดเขาและใช้ความรุนแรงกับเขา ทำให้เขาเป็นคนเสี้อแดงที่เข้มข้น จากเสื้อแดงอ่อน ๆ ก็เป็นเสื้อแดงที่เข้มข้นสุดโต่ง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับบ้านเมือง ถ้าเรารักชาติบ้านเมืองก็อย่าไปเป็นแนวร่วมมุมกลับคนเสื้อแดง ต้องตั้งสติ ต้องช่วยกันเตือน โกรธได้ แต่ให้มีสติรู้ทันความโกรธ อย่าทำตามอำนาจของความโกรธ มันจะทำให้เราเดือดร้อนเอง ลูกหลานก็จะพลอยเดือดร้อนด้วย



ในระยะกลางวิธีหนึ่งที่จะเยียวยาความเจ็บปวดและลดทอนความเคียดแค้นก็คือการใช้กระบวนการยุติธรรม การทำความจริงให้ปรากฏ ในทุกสังคมเวลามีความขัดแย้งจนทำร้ายล้างกันระหว่างกลุ่มชน เราพบว่าความจริงและความยุติธรรมสามารถช่วยได้ มีการสอบสวนหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นใครผิดใครถูก ไม่ใช่ว่าตามข่าวลือ แล้วเอาคนผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าเจ้าหน้าที่รัฐ นปช. นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง ถ้าตกเป็นผู้ต้องหาก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและพิสูจน์ตัวเอง ถ้ากระบวนการยุติธรรมเที่ยงธรรม สามารถหาคนผิดมาลงโทษได้ มันจะช่วยเยียวยาผู้ที่สูญเสีย ผู้ที่เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นคนสีแดงหรือไม่ก็ตาม เราอย่ามองข้ามกระบวนการยุติธรรม จริงอยู่เมตตาธรรมก็ต้องมี อย่างที่พูดมากข้างต้น คืออย่าโกรธเกลียดตอบโต้กัน แต่ว่าก็ต้องใช้ยุติธรรมเข้ามา เพราะยุติธรรมเป็นธรรมะที่ทำให้ยุติได้ในระดับหนึ่ง อยากให้ใช้กระบวนการนี้ในการเยียวยาความเจ็บปวด ลดทอนความเคียดแค้น แต่มันเป็นมาตรการระยะกลาง กว่ามันจะปรากฏผลว่าใครผิดใครถูกก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนหรืออาจเป็นปี แต่ในระยะอันใกล้นี้ทุกคนต้องตั้งสติ อย่าโกรธเกลียด หรือถ้าโกรธเกลียดก็อย่าแก้แค้นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ สาวไทย ที่ใคร ๆ ก็อยากรู้จัก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


เพราะจดหมายของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่ส่งถึงช่องข่าว CNN ได้รับการกล่าวขานไม่แพ้วาทกรรมของ คุณอ๊อฟ - พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ทำให้ชื่อของ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ สาวไทยใจกล้า เป็นอีกหนึ่งคนที่ใคร ๆ ก็อยากรู้จักเธอมากที่สุดในตอนนี้


นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ส่งจดหมายถึงช่องข่าว CNN มีใจความสำคัญระบุถึงการเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลาง และเอนเอียงไปฝ่ายเดียว ทำเอาช่องข่าว CNN ถึงกับงานเข้าเลยทีเดียว โดยมีเนื้อหาในจดหมายดังนี้


Dear Sirs/Madams,

Recently, CNN Thailand Correspondents Dan Rivers and Sarah Snider have made me seriously reconsider your agency as a source for reliable and accurate unbiased news. As of this writing, over thousands of CNN’s viewers have already begun to question the accuracy and dependability of its reporting as regards events in Afghanistan, Haiti, Iraq, Iran, etc., in addition to Bangkok.


เร็ว ๆ นี้ ผู้สื่อข่าว CNN ประจำประเทศไทย ทั้ง แดน ริเวอร์ และ ซาร่าห์ ซไนเดอร์ ทำให้ดิฉันต้องกลับมาพิจารณาอย่างจริงจังว่าข่าวของสำนักข่าวของคุณเป็นแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ มีความถูกต้อง และไม่เอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือไม่ ในขณะที่ดิฉันกำลังเขียนจดหมายฉบับนี้ มีผู้เสพข่าวของ CNN กำลังตั้งคำถามถึงความแม่นยำและแหล่งข่าวในการนำเสนอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน อาฟกานิสสถาน ไฮติ อิรัก อิหร่าน เป็นต้น .. เพิ่มเติมจากการเสนอข่าวในกรุงเทพมหานคร


As a first-rate global news agency, CNN has an inherent professional duty to deliver all sides of the truth to the global public who have faithfully and sincerely placed their trust and reliance in you. Your news network, by its longtime transnational presence and extensive reach, has been put in a position of trust and care; CNN’s journalists, reporters, and researchers have a collective responsibility to follow the journalist's code and ethics to deliver and present facts from all facets of the story, not merely one-sided, shallow and sensational half-truths. The magnitude of harm or potential extent of damage that erroneous and fallacious news reporting can cause to (and exacerbate), not only a country’s internal state of affairs, economic well-being, and general international perception, but also the real lives and livelihood of the innocent and voiceless people of that nation, is enormous. CNN should not negligently discard its duty of care to the international populace by reporting single-sided or unverified facts and distorted truths drawn from superficial research, or display/distribute biased images which capture only one side of the actual event.


ในฐานะที่เป็นสำนักข่าวชั้นนำของโลก CNN มีหน้าที่ในการเสนอข่าวอย่างรอบด้าน บนพื้นฐานของความจริงต่อประชาชนทั่วโลกที่ให้ความไว้วางใจอย่างสุจริตต่อการเสนอข่าวของสำนักข่าวของท่าน เครือข่ายข่าวนานาชาติของท่านยังดำรงอยู่และเข้าถึงอย่างกว้างขวางโดยพื้นฐานของการนำเสนออย่างระมัดระวังและไว้ใจได้มาอย่างยาวนาน ; นักข่าว ผู้สื่อข่าว และผู้ที่ทำการวิจัยข้อมูลของ CNN ต้องมีความรับผิดชอบในการปฏิบัติตนตามมาตรฐานการปฏิบัติและจริยธรรมของผู้สื่อข่าว ในอันที่จะนำเสนอเรื่องราวและข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่ใช่การนำเสนอข่าวด้านเดียว ที่ตื้นเขิน และความจริงเพียงครึ่งเดียว ความเสียหายและโอกาสที่จะเกิดความเสียหายที่ร้ายแรงจากความเข้าใจผิดหรือการรับรู้ที่ไม่ถูกต้องอาจจะเกิดขึ้นได้ (และถูกทำให้แย่ลง) ไม่เพียงแค่ในส่วนที่เกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศ ภาวะเศรษฐกิจ และภาพลักษณ์ต่อประชาคมโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่จริงๆของผู้คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่และไม่มีปากเสียงของประเทศนั้น ๆ ด้วย นี่เป็นเรื่องที่ใหญ่โต CNN ไม่ควรจะเพิกเฉยและละเลยหน้าที่ที่ต้องใช้ความระมัดระวังในในการนำเสนอข่าวเพียงด้านเดียวในประชาคมโลก หรือการที่ไม่ตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของข่าว และแม้แต่การบิดเบือนข้อเท็จจริงที่นำมาจากการการวิจัยอย่างคร่าว ๆ ผิวๆ เผิน ๆ หรือการนำเสนอ / แจกจ่ายรูปภาพที่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของความจริงทั้งหมดในภาพรวม


Mr. Rivers and Ms. Snider have NOT done their best under these life-threatening circumstances because many other foreign correspondents have done better. All of Mr. Rivers and Ms. Sniders' quotes and statements seem to have been solely taken from the anti-government protest leaders or their followers/sympathizers. Yet, all details about the government’s position have come from secondary resources. No direct interviews with government officials have been shown; no interviews or witness statements from ordinary Bangkok residents or civilians unaffiliated with the protesters, particularly those who have been harassed by or suffered at the hands of the protesters, have been circulated.


คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดภายใต้ภาวะที่อาจจะเกิดการคุกคามชีวิต เพราะผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวอื่น ๆ ทำหน้าที่ได้ดีกว่านี้ ทุกสิ่งที่คุณริเวอร์ และคุณซไนเดอร์กล่าวถึงและเขียนถึง ล้วนแต่เป็นเรื่องที่นำมาจากแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้าน หรือผู้ชุมนุมที่ฟูมฟายเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้น รายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวกับทางฝ่ายรัฐบาลล้วนได้มาจากแหล่งข่าวรอง ๆ ทั้งสิ้น ยังไม่ปรากฏว่ามีการเข้าไปสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐโดยตรง หรือการเข้าไปรับทราบการรายงานจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องการการชุมนุมประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งถูกคุกคามและต้องทนทุกข์จากการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วง แล้วนำมารายงานข่าว


Why the discrepancy in source of information? Why the failure to report all of the government’s previous numerous attempts to negotiate or invitations for protesters to go home? Why no broadcasts shown of the myriad ways the red protesters have terrorized and harmed innocent civilians by burning their shops, enclosing burning tyres around apartment buildings, shooting glass marbles at civilians from high altitudes, attacking civilians in their cars, and worst of all, obstructing paramedics and ambulances carrying civilians injured by M79 grenade blasts during the Silom incident of April 24, 2010, thereby resulting in the sole civilian casualty? The entire timeline of events that have forced the government to take this difficult stance has been hugely and callously ignored in deference to the red ‘underdogs’.


ทำไมจึงมีความแตกต่างในการนำเสนอข่าว (สองมาตรฐาน – ผู้แปล) ทำไมจึงไม่มีการรายงานข่าวความพยายามหลาย ๆ ครั้งของทางฝ่ายรัฐบาลที่จะเจรจาหรือเชิญผู้ชุมชุมให้กลับบ้าน ทำไมจึงไม่มีการรายงานวิธีการมากมายหลายอย่างที่เลวร้ายน่ากลัวที่กลุ่มผู้ประท้วงได้กระทำและเป็นอันตรายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการเผาทำลายร้านค้า การเผายางรถยนต์รอบๆตึกอพาร์ทเมนท์ ยิงลูกแก้วเข้าสู่ประชาชนจากที่สูง ทำร้ายประชาชนในรถยนต์ และที่เลวร้ายที่สุดก็คือกีดขวางเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บจากกรณีการยิงระเบิด เอ็ม 79 ในพื้นที่การปะทะที่ถนนสีลม เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2010 ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของประชาชน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นลำดับได้บีบบังคับให้ทางฝ่ายรัฐบาลต้องอยู่ในฐานะที่ยากลำบากที่จะต้องเมินต่อกลุ่มคนเสื้อแดง

Mr. Rivers and Ms. Snider’s choice of sensational vocabulary and terminology in every newscast or news report, and choice of images to broadcast, has resulted in law-abiding soldiers and the heavily-pressured Thai government being painted in a negative, harsh, and oppressive light, whereas the genuinely violent and law-breaking arm of the anti-government protesters - who are directly responsible for overt acts of aggression not only against armed soldiers but also against helpless, unarmed civilians and law-abiding apolitical residents of this once blooming metropolis (and whose actions under American law would by now be classified as terrorist activities) – are portrayed as righteous freedom fighters deserving of worldwide sympathy and support. This has mislead the various international Human Rights watchdogs to believe the Thai government are sending trigger-happy soldiers out to ruthlessly murder unarmed civilians without just cause.

สิ่งที่คุณริเวอร์และคุณซไนเดอร์เลือกใช้ ไม่ว่าจะเป็นภาษา คำศัพท์ หรือภาพที่กินใจในการนำเสนอข่าว ล้วนเป็นเรื่องของทหารที่ปฏิบัติตนตามกฎหมายและอยู่ภายใต้ภาวะกดดันอย่างสูง ฝ่ายรัฐบาลได้รับการป้ายสี วาดภาพในด้านลบ หยาบกระด้าง และปกครองอย่างกดขี่ ในขณะที่พวกที่มีความรุนแรงที่แท้จริงและละเมิดกฎหมายของกลุ่มคนที่ประท้วงรัฐบาล ผู้ซึ่งจะต้องรับผิดชอบอย่างแท้จริงต่อการกระทำที่เกินเลยและก้าวร้าว ไม่เพียงกระทำต่อทหารที่มีอาวุธเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนที่สิ้นหวัง ปราศจากอาวุธ ผู้ที่ปฏิบัติตนภายใต้กฎหมาย และประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตที่ครั้งหนึ่งเป็นเขตที่รุ่งเรืองของมหานครแห่งนี้ (ซึ่งการปฏิบัติตนเช่นที่กล่าวมานี้ หากเป็นกฎหมายของอเมริกา จะถูกจัดเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายทันที) – แต่คนกลุ่มนั้นกลับปฏิบัติตนเสมือนว่ามีอิสระที่จะต่อสู่ และได้รับความเห็นใจและการสนับสนุนจากประชาคมโลก นี่เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิด ๆ ในกลุ่มพิทักษ์สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งเข้าใจว่ารัฐบาลไทยกำลังส่งทหารที่มีอาวุธเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนโดยไม่มีเหตุอันควร

As a current resident of "war zone" Bangkok who has experienced the effect of the Red protests first hand and is living in a state of constant terror and anxiety as to whether her family, friends, and home would get bombed or attacked by the hardcore anti-government vigilantes/paramilitary forces - I appeal to CNN's professional integrity to critically investigate and scrutinize the misinformed news reporting of your above-named correspondents. If they are incapable of obtaining genuine, authentic facts from any other source except the Red Protest leaders and red-sympathizing Thai translators or acquaintances, or from fellow non-Thai-speaking journalists who are similarly ignorant of Thai language, culture, history, and society, then perhaps CNN should consider reassigning field correspondents to Thailand.

ในฐานะที่เป็นผู้ที่อาศัยอยู่ใน "เขตสงคราม" ของกรุงเทพ และมีประสบการณ์ตรงที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงที่มีการข่มขู่อย่างต่อเนื่อง เรามีความกังวลว่าครอบครัวของเรา เพื่อนฝูง และบ้านเรือนของเราจะถูกระเบิดหรือถูกโจมตีจากกลุ่มหัวรุนแรงของกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาล กองกำลังต่าง ๆ ดิฉันอยากจะขอร้องให้ CNN ใช้จริยธรรมของวิชาชีพในการตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และพินิจพิเคราะห์ข่าวที่บิดเบือนจกการนำเสนอโดยผู้สื่อข่าวที่ได้พูดถึงข้างต้น หากพวกเขาไม่มีความสามารถในการหาข่าวที่เป็นจริงจากแหล่งข่าวอื่น ๆ นอกเหนือไปจากแกนนำคนเสื้อแดง และคนแปลที่เห็นอกเห็นใจฝ่ายเสื้อแดง หรือจากนักข่าวที่ไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ไม่รู้เรื่องวัฒนธรรม เมินเฉยต่อประวัติศาสตร์ และสภาวะทางสังคม และหากเป็นเช่นนั้นจริง ๆ CNN น่าจะหาผู้สื่อข่าวคนอื่นเข้ามาทำข่าวในประเทศไทย

I implore and urge you to please take serious action to correct or reverse the grave injustice that has been done to the Thai nation, her government, and the majority of law-abiding Thai citizens and expatriate residents by having endorsed and widely circulated poorly researched and misrepresented news coverage of the current ongoing political unrest and escalating violence in Thailand.

ดิฉันขออ้อนวอนและขอให้สำนักข่าวของท่านลงมือทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง เพื่อแก้ไขความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับประเทศไทย กับรัฐบาลไทย และประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่เคารพกฎหมาย รวมถึงชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ที่นี่ โดยการรายงานข่าวและงานวิจัยแย่ ๆ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้น รวมถึงการรายงานความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนเกินเลยเกินความเป็นจริง

Copies of this open letter have also been distributed to other local as well as international news media and social networks for public information. Please feel free to contact me further should you require any additional concrete and reputable evidence in substantiation and corroboration of my complaints and claims stated hereinabove.

สำเนาของจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้จะมีการแจกจ่ายในประเทศไทย และในประชาคมโลก รวมถึงในเครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนทั่วไป กรุณาติดต่อดิฉันได้ทุกเมื่อหากท่านต้องการข้อมูลเฉพาะเพิ่มเติม หรือหลักฐานที่เชื่อถือได้ ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อความที่ดิฉันเขียนมาทั้งหมดข้างต้น

Thank you.

Yours faithfully,

Napas Na Pombejra, B.A., LL.B. (Lond.)
Bangkok, Thailand
May 17, 2010


สำหรับ นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ จบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อปี 2005 จากนั้น นภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศอังกฤษ และได้รับเกียรตินิยม เมื่อปี 2008


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ashitastudioclub.ning.com

เมื่อหลงคิด... ความไม่เป็นธรรมจึงเกิด...

วันก่อนเพื่อนผมพูดถึงเรื่องสองมาตรา ฐาน แล้วยกตัวอย่างเรื่องคนในหน่วยงานราชการบ้าง รัฐวิสาหกิจบ้าง

(เช่น ใครอยู่องค์การไฟฟ้าก็ใช้ไฟฟ้าฟรี ประปาก็ประปาฟรี โทรศัพท์ก็.... ฯลฯ

ใคร มีเส้นสายในกระทรวงใด ก็ได้เข้าทำงานในกระทรวงนั้นง่ายกว่าคนปรกติหลายร้อยเท่า)

ใครมีพ่อเป็น ตำรวจ ทหาร หรือสส. ก็จะได้บัตรเบ่ง (อันนี้เติมเองนะ)

ซึ่งข้อสรุป ของเขาก็คือ สองมาตรฐานจะไม่มีวันหมดไป ไม่ว่าในระบบการปกครองแบบใด หรือในยุคสมัยใด

และคนทั้งหลายก็จะแย่งกันไขว่คว้าเอกสิทธิ์นี้ เพื่อประโยชน์ของตัวเองเป็นใหญ่

สิ่งที่เพื่อนผมพูดนั้นเป็นสัจธรรม และสอดคล้องกับกลอนบทหนึ่งของท่านพุทธทาส ซึ่งผมจะขอยกมาปิดท้าย


อย่างไรก็ดีผมขอกลับมาพูดเรื่องที่ใหญ่กว่าสองมาตรฐานนั่นก็คือความไม่เท่า เทียมกันในแทบทุกเรื่องของโลกใบนี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สัตว์โลกมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ และกรรมจำแนกสัตว์โลก”

สอง มาตรฐานเป็นตัวอย่างหนึ่งของความไม่เท่าเทียมกัน แต่แน่นอนบนโลกนี้ย่อมมีความไม่เท่าเทียมกันอย่างอื่นอีก

เช่นบางคนคาบ ช้อนเงินช้อนทองมาเกิด มีรูปร่างผิวพรรณดี มีต้นทุนทางสังคมครบถ้วนทุกอย่าง

บาง คนเกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ พิกลพิการ ต้องอดอยากแร้นแค้น  บางคนเกิดมา ครอบครัวอบอุ่น

บางคนเกิดมาโดนพ่อเลี้ยงขืนใจ โดนทุบตีฯลฯ

ถ้าเอา กันให้ถึงที่สุดแม้แต่สัตว์ในทุ่งหญ้าสะวันน่า บางตัวเกิดมาเพื่อล่าสัตว์อื่น บางตัวเกิดมาเพื่อถูกล่า

ถ้าให้พูดในมุมนี้ ความเท่าเทียมกันไม่เคยมีอยู่บนโลกอยู่แล้ว เพราะ “กรรม เป็นเครื่องจำแนกสัตว์โลก”


พระไพศาล วิสาโลท่านกล่าวไว้ในบทความล่าสุดที่ชื่อ “ทางหลุดพ้นจากกับดักแห่งความรุนแรง” ว่า

http://visalo.org/article/matichon255305.htm

“การ เติบใหญ่ของขบวนการเสื้อแดงก็เป็นผลมาจากความเหลื่อล้ำทางเศรษฐกิจและ

ความ ไม่เป็นธรรมที่เกิดกับคนระดับรากหญ้ามาเป็นเวลาช้านาน

บุคคลเหล่านี้ซึ่ง มีทั้งในชนบทและในเมืองล้วนถูกทอดทิ้งจากภาครัฐ”

“ครั้นเมื่อพ.ต.ท .ทักษิณได้เป็นนายกฯ และหยิบยื่นผลประโยชน์ส่วนกลางมาให้แก่พวกเขา

ผ่าน นโยบายประชานิยม ทำให้ประชาชนรากหญ้ารู้สึกว่านี้เป็นรัฐบาลของพวกเขาจริงๆ”

“ทั้งๆ ที่พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและความไม่เป็นธรรม ในเชิงโครงสร้างเลย

แต่เมื่อเขาถูกรัฐประหาร ประชาชนนับสิบล้านที่เลือกเขาก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นว่าพวกตนถูกกลั่นแกล้ง

และ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ความเหลื่อมลำยังดำรงอยู่และความไม่เป็นธรรมที่เพิ่มขึ้น

กลายเป็น ประเด็นร้อนแรงที่ถูกใช้เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนลุกขึ้นมาสนับสนุน การช่วงชิงอำนาจ

ให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดขบวนการคนเสื้อแดงขึ้นมา”“ความ ไม่เป็นธรรม” หรือความไม่เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ของแปลกใหม่

เป็น เรื่องที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ทุกยุคสมัย และไม่ใช่แค่ในสังคมมนุษย์

หลวง พ่อไพศาลท่านกล่าวว่า

"คุณทักษิณไม่ได้แก้ไขความเหลื่อมล้ำทางเศรษญ กิจและความไม่เป็นธรรมในเชิงโครงสร้างเลย"

คำถามคือกลุ่มผู้ชุมนุม ต่อสู้เพื่อ “ความเป็นธรรม” จริงๆ หรือเปล่า...

คำตอบคือ “ไม่”


ความเป็นธรรมที่ว่าคือการที่คุณทักษิณหนีไปต่าง ประเทศ พักโรงแรมหรูๆ เดินช็อปปิ้งกับลูกสาวในห้างดัง

แล้วปล่อยให้พวก ผู้ชุมนุมนั่งตากแดดร้อนๆ แทบลมจับในที่ๆ อากาศไม่ถ่ายเท ซ้ำยังเหม็นอับสิ่งปฏิกูลหรือ?

ความเป็นธรรมที่ว่าคือการที่พวกแกนนำ หนีไปพักที่โรงแรมบ้าง ในรถคอนเทนเนอร์ที่มีเตียงนุ่มๆ แอร์เย็นๆ

ในขณะ ที่ปล่อยให้พวกผู้ชมนุมต้องนอนตบยุงอยู่ในที่แจ้ง กับพื้นแข็งๆ ที่อากาศอบอ้าวยังงั้นหรือ?

ความเท่าเทียมกันไม่เคยมี แม้แต่ในหมู่คนเสื้อแดงด้วยกันเอง และจะไม่มีวันมีเพราะมันเป็นสัจธรรม

เป็น ธรรมดาที่คนเราจะไม่พอใจเมื่อตัวเอง “คิดเอาเอง” ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้ “มันไม่ยุติธรรม”

เช่นถ้าเราเห็นบ๋อยเสิร์ฟอาหารโต๊ะอื่นก่อน ทั้งที่มาทีหลัง เราก็จะไม่พอใจ เพราะ คิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

แต่ถ้า เรารู้ว่าเขาโทรสั่งจองไว้ล่วงหน้า เราจะหายโกรธทันที เพราะคิดว่า “มันยุติธรรม”

ความไม่พอใจจึงเกิดขึ้นเพราะ เราหลงคิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

ทำไมกวางในสะวันน่าถึงไม่เคยบ่น ไม่เคยรวมตัวกันประท้วงที่ตัวเองต้องเป็นอาหารของเสือชีตาร์

ก็เพราะมัน ไม่เคยคิดว่า “มันไม่ยุติธรรม”

มันรู้แค่ว่าถ้าวิ่งเร็วกว่า ็จะรอด ถ้าวิ่งช้ากว่าก็จะถูกฆ่า ไม่มีเวลามาฟุ้งซ่านเหมือนมนุษย์

ทำไม เพื่อนผมบางคน ถูกแม่เลี้ยงรังแก ต้องหนีออกจากบ้าน หาห้องพักเอง

ซ้ำ ยังโดนตำรวจไถเงินบ่อยๆ ตอนขับมอเตอร์ไซค์

แต่ก็ขยันทำงาน และมีความสุขตามอัตภาพ ไม่เสียเวลามานั่งหงิดหงุดว่าสังคมไทย “มันไม่ยุติธรรม”

ทำไมคนชนบทหลายหมู่บ้านที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก รัฐ ถึงสามารถขวนขวายทำการเกษตรของตัวเอง

บ้างก็รับเอาแนวพระราชดำริของ ในหลวงมาประยุกต์ใช้และอยู่อย่างพอเพียงเป็น สุข ไม่มานั่งบ่นเรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม

ทำไมพวกผู้ชุมนุมถึงไม่ บ่นเรื่องสองมาตรฐานของพวกแกนนำ ทั้งที่คนเหล่านั้นได้กินได้นอนในที่ๆ สบายกว่าตน

ก็เพราะพวกเขาไม่เห็นว่า “มันไม่ยุติธรรม”


จะ เห็นได้ว่าคนเราจะไม่พอใจอะไรก็เพราะพวกเขาหลงคิดเอาเองว่า “มันไม่ยุติธรรม” ด้วยกันทั้งนั้น

แต่ท้ายที่สุดการดิ้นรนขวนขวายก็ไม่ ช่วยให้ใคร “พอใจ” ได้ เพราะตัณหาของมนุษย์เป็นสิ่งที่เติมยังไงก็ไม่มีวันเต็ม

จะเห็นว่าแม้บาง คนได้เป็นเศรษฐีรวยล้นฟ้า มีเงินเป็นหมื่นล้าน ก็ยังไม่รู้จักพออยู่นั่นเอง

ความ เท่าเทียมกัน 100% ในสังคมเป็นสิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ แต่ทุกวันนี้หลายคนที่ผมรู้จัก

ก็ตระหนักรู้ว่าตนเองมีต้นทุนทางสังคมมาก น้อยเพียงไรและดิ้นรนใช้ชีวิตตามอัตภาพ

คนเหล่านั้นรักตัวเองเป็น จึงรู้ว่าจะขวนขวายลาภยศชื่อเสียงได้มากน้อยเพียงใด และไม่เคยต้องทำผิดกฏหมายหรือศีลธรรม


ที่พวกเขามีความสุข ก็เพราะรู้จักพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี สมดังคำพระที่ว่า “สุขใจเมื่อใจพอ” หรือ “สุขเป็นก็เป็นสุข”


สุดท้ายนี้ผมขอยกบทกลอน ของท่านพุทธทาสปิดท้ายครับ _/\_

- หลักของคนทุกวันนี้ -

ถ้า เอาเปรียบ เขาไม่ได้ ก็ว่า “ไม่ถูก”

ถ้าจูงจมูก ได้ทุกที ก็ว่า “ดีเหลือ”

ถึงวันดี เกิดมี เกลือจิ้มเกลือ

ร้องว่า “เบื่อ” โลกอะไร? ไม่เป็นธรรม

คนพวกนี้ มีโลก ของตัวเอง

ไปตามเพลง ของกิเลส ที่อุปถัมภ์

ไม่ยอมแพ้ อะไรหมด แม้กฎกรรม

ความเป็นธรรม นั้นคือ “ได้ ตามใจตัว”

ไกลจากสัตว์ ไปทุกที ที่ว่าเจริญ

หาส่วนเกิน มาเทิดไว้ ใส่เกล้าหัว

ใช้สงคราม ตัดสินความ ไม่คร้ามกลัว

ว่าความชั่ว จะไหม้โลก เป็นโคกไฟฯ

หากศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศครับ...

จากคุณ : เต้อ้วนมาก

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y9275714/Y9275714.html

กรรมของชาติ ของบ้านเมือง ใครรับผิดชอบ ? : สมเด็จพระญาณสังวร ฯ

กรรมของชาติ ของบ้านเมือง ใครรับผิดชอบ ?
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

มนุษย์ไม่เคยนึกให้ถึงว่าความรุนแรงที่เกิดแก่ตนบ้าง เกิดแก่คนนั้นคนนี้บ้าง เกิดแก่ประเทศชาติบ้าง นั้นเกิดแต่กรรมไม่ดีใด เพราะผลทุกประการเกิดแต่เหตุ ผลที่ไม่ดีที่แรงมากแรงน้อยต่างๆ นานา ต้องมีเหตุที่ได้กระทำแล้วจริงทั้งนั้น เกิดแก่ผู้ใดก็แสดงว่าผู้นั้นทำเหตุไว้ เกิดแก่ประเทศชาติใดก็แสดงว่าผู้คนในประเทศชาตินั้น ที่จำนวนไม่น้อย ได้ทำเหตุไว้แน่นอน


แต่ผู้ไมมีญาณหยั่งรู้ย่อมไม่รู้ได้ว่าทำเหตุใดไว้ ผู้ใดหรือหมู่คณะใดเป็นผู้ทำไว้ เราทุกคนก็อาจจะเป็นหนึ่งที่ได้ร่วมกระทำเหตุไม่ดีไว้ ทำให้เกิดผลไม่ดีที่ปรากฏให้เห็นทั่วไป ในที่นี้จะพูดถึงที่เป็นผลกว้างขวางครอบคลุมไปในประเทศชาติ ตลอดถึงกระทั่งในโลกทีเดียว


พวกเราที่รวมกันเป็นคนในโลก ในประเทศชาติ เมื่อมีความเดือดร้อนวุ่นวายปั่นป่วนเกิดขึ้นมากมายผิดปกติ ในโลกก็ตาม ในบ้านเมืองของเราก็ตาม น่าจะคิดให้ลึกสักหน่อยว่า ต้องเป็นกรรมที่ไม่ใช่เล็กน้อย นั่นก็คือต้องไม่เป็นกรรมของคนใดคนหนึ่งเท่านั้น


กรรมที่เกิดแก่ส่วนรวม คือเกิดแก่บ้านเมืองแก่ประเทศชาติ ตามเหตุผลแล้วต้องเป็นกรรมของส่วนรวม ของประเทศชาติ ซึ่งมีเราทุกคนรวมอยู่เป็นหนึ่งแน่นอน ยอมรับว่าความร้อนของบ้านเมืองเรา ซึ่งต้องเกิดแต่กรรมไม่ดีไม่งามแน่นอน เราต้องเป็นหนึ่งในผู้ก่อกรรมอันยังให้ความเดือดร้อนนั้นเกิด


ถ้าทุกคนหรือมากคน ยอมคิดได้เช่นนี้ แล้วยอมแก้ไขด้วยการพยายามทำกุศลกรรม คือทำดี ลดละการทำอกุศล คือทำไม่ดี ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ย่อมยังให้เกิดผลดีได้ มากคนคิดได้ มากคนทำดี มากคนลดละเลี่ยงหลีกการทำความชั่ว การทำบาปอกุศล


ย่อมยังให้เกิดผลดีได้มากเป็นธรรมดา แก่ประเทศชาติ ทำเหตุดีมาก ผลดีย่อมมาก แน่นอน


พระพุทธสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” อัญเชิญพระพุทธภาษิตนี้มาช่วยประเทศชาติของเราเถิด ถึงเวลาแล้วอย่าปล่อยให้สายเกินไป รู้อยู่แก่ใจ ว่าบ้านเมืองกำลังวุ่น กำลังร้อน อย่าไปมัวเพ่งโทษคนนั้นคนนี้ ว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ควรทำอย่างนั้น ควรทำอย่างนี้


โดยมิได้นึกถึงตัวเองเลยว่าต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ที่เป็นบุญเป็นกุศล ไม่เป็นบาปไม่เป็นอกุศล แล้วทำตามที่คิดในทันที การมัวไปเพ่งโทษคนอื่นว่าทำผิดอย่างนั้น ทำไม่ดีอย่างนี้ นอกจากไม่ให้คุณแก่ใครแล้ว ไม่ช่วยประเทศชาติให้ร่วมเย็นเป็นสุขแล้ว ยังให้โทษแก่จิตใจของตนเองด้วย


ดังนั้นจึงทรงมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้ว่า “บัณฑิตย่อมไม่เพ่งโทษผู้อื่น” เพราะไม่มีคุณ มีแต่โทษสถานเดียว....

ที่มา www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4518